วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุป
บทที่ 3 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม (Behavioral Theories)

          ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่ได้รับความนิยม คือทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
          ในช่วง ค.ศ. 1970 ได้มีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากพฤติกรรมนิยมมาสู่พุทธิปัญญานิยม (Cognitivism)
          ในช่วงทศวรรษที่
1980 ต่อมา เกิดกระบวนการทัศน์ทางการเรียนรู้ใหม่ คือ คอนสตรัคติวิสต์ (Construsctivism)

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม (Behavioral Theories)
          การเรียนรู้ตามแนวคิดกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมนิยม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม  
          นักจิตวิทยาในกลุ่มพฤติกรรมที่สำคัญ และเป็นผู้ที่ผลงานมีบทบาทในงานทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาในปัจจุบัน ได้แก่ Povlov, Watson, Thorndike และ Skinner
          นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้จำแนกพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
                  1. พฤติกรรมเรสปอนเดนส์ (Response Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า ซึ่งสามารถวัดและสังเกตได้
                  2. พฤติกรรมโอเปอแรนท์ (Operant Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลหรือสัตว์แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา (Emitted) โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน

ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning Theory)

          แนวคิดของพาพลอฟ (Pavlov)

          พาฟลอฟได้ทำการวิจัยและแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยการทดลองที่ทำให้สุนัขน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังนี้
         
1. สั่นกระดิ่งก่อนที่จะนำอาหาร (ผงเนื้อ) ให้แก่สุนัข เวลาระหว่างการสั่นกระดิ่ง และให้ผงเนื้อแก่สุนัข จะต้องเป็นเวลาที่กระชั้นชิดมากประมาณ .25 ถึง .50 วินาที
          2. กระทำซ้ำโดยสั่นกระดิ่งก่อนและให้ผงเนื้อแก่สุนัขควบคู่กันหลาย ๆ ครั้ง
          3. หยุดให้อาหารเพียงแต่สั่นกระดิ่งอย่างเดียวเท่านั้น ก็ปรากฏว่าสุนัขก็ยังคงมีน้ำลายไหลได้


แนวคิดของวัตสัน 
          วัตสันได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม” ทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรื่องการเกิดอารมณ์จากการวางเงื่อนไข (Conditioned emotion)
          วัตสันทำการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับหนูขาว ขณะที่เด็กกำลังจะจับหนูขาว ก็ตีแผ่นเหล็กให้เกิดเสียงดัง เด็กจะตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาทดลองนำหนูขาวมาให้เด็กดูใหม่ โดยให้แม่กอดและคอยปลอบเด็กไว้จากนั้นเด็กก็จะค่อย ๆ หายกลัวหนูขาว
          วัตสันสรุปเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนี้
                   1. พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จะคงทนถาวร หากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
                   2. เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใด ๆ ได้ ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้

ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ (Operant Conditioning Theory)

แนวคิดของธอร์นไดค์ (Thorndike)

          เป็นผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาการศึกษา และเป็นผู้ที่คิดทฤษฎี Connectionism ที่เชื่อว่า การเรียนรู้จะเกิดจากการลองผิดลองถูก ในระหว่างนั้น S-R คู่ใด ได้รับการเสริมแรงจะทำให้เกิดความเชื่อโยงระหว่าง S-R คู่นั้น 

          ในการทดลอง ธอร์นไดค์ได้นำแมวไปขังไว้ในกรงที่สร้างขึ้น แล้วนำอาหารไปวางล่อไวนอกกรงให้ห่างพอประมาณ โดยให้แมวไม่สามารถยื่นเท้าไปเขี่ยได้ จากการสังเกต พบว่าแมวพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อจะออกไปจากกรง จนกระทั่งเท้าของมันไปเหยียบถูกคานไม้โดยบังเอิญ ทำให้ประตูเปิดออก หลังจาก นั้นแมวก็ใช้เวลาในการเปิดกรงได้เร็วขึ้น
          จากการทดลอง ธอร์นไดค์อธิบายว่า การตอบสนองซึ่งแมวแสดงออกมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นการตอบสนองแบบลองผิดลองถูก การที่แมวสามารถเปิดกรงได้เร็วขึ้น ในช่วงหลังแสดงว่า แมวเกิดการสร้างพันธะหรือตัวเชื่อมขึ้นระหว่างคานไม้กับการกดคานไม้ ธอร์นไดค์ได้สรุปกฎแห่งการเรียนรู้ ไว้ดังนี้
          1. กฎแห่งผล (Law of Effect) สิ่งเร้าใดที่มีการกระตุ้นให้มีการตอบสนองแล้ว ทำให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจจากการกระทำนั้นแล้ว จะเป็นผลให้เกิดพฤติกรรมนั้นซ้ำ ๆ อีก หรือต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งนั้นต่อไป
          2. กฎแห่งความพร้อม (law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
          3. กฎแห่งการฝึกหัด (low of Exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำให้การเรียนรู้นั้นคงถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คงถาวร และในที่สุดอาจจะลืมได้
          4. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and disuse) การเรียนรู้จะเกิดจากการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ถ้าได้มีการนำไปใช้บ่อย ๆ การเรียนรู้นั้นจะมีความคงทนถาวร หากไม่มีการนำไปใช้บ่อย ๆ อาจจะเกิดการลืมได้

แนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner) 

          สกินเนอร์มีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของ Pavlov นั้น จำกัดอยู่กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่าตามการอธิบายของ Pavlov
          สกินเนอร์ได้แบ่ง พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตไว้ 2 แบบ คือ
                   1. Respondent Behavior คือ พฤติกรรมหรือการตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือเป็นปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex) ซึ่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เช่น การกระพริบตา น้ำลายไหล
                   2. Operant Behavior คือ พฤติกรรมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตเป็นผู้กำหนด หรือเลือกที่จะแสดงออกมา ส่วนใหญ่จะเป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกในชีวิตประจำวัน เช่น กิน นอน พูด เดิน ทำงาน ขับรถ
          สำหรับการทดลองของสกินเนอร์ เขาได้สร้างกล่องทดลองขึ้นซึ่ง กล่องทดลองของสกินเนอร์ (Skinner Boxes) จะประกอบด้วยที่ใส่อาหาร คันโยก หลอดไฟ คันโยกและที่ใส่อาหารเชื่อมติดต่อกัน การทดลองเริ่มโดยการจับหนูไปใส่กล่องทดลอง เมื่อหนูหิวจะวิ่งวนไปเรื่อย ๆ และไปเหยียบถูกคันโยก ก็จะมีอาหารตกลงมา ทำให้หนูเกิดการเรียนรู้ว่าการเหยียบคันโยกจะได้รับอาหารครั้งต่อไปเมื่อหนูหิวก็จะตรงไปเหยียบคันโยกทันที ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าหนูตัวนี้เกิดการเรียนรู้แบบการลงมือกระทำเอง
          สกินเนอร์เชื่อว่า การเสริมแรงเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรม
          การเสริมแรง (Reinforcement)  หมายถึง สิ่งเร้าใดที่ทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้เกิดขึ้นแล้วมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอีก มีความคงทนถาวร เช่น การกดคานและจิกแป้นสีของนกพิราบได้ถูกต้องต้องการทุกครั้งเมื่อหิวหรือต้องการ ในการทดลอง Skinner ตัวเสริมแรง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
                    1) การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง สิ่งของ คำพูด หรือสภาพการณ์ที่จะช่วยให้พฤติกรรมเกิดขึ้นอีก หรือสิ่งทำให้เพิ่มความน่าจะเป็นไปได้ของการเกิดพฤติกรรม

                   2) การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็อาจจะทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมได้